หากคุณทำธุรกิจค้าปลีก มีโอกาสสูงที่คุณจะรับการชำระเงินในรูปแบบที่ไม่ใช่เงินสด ตามข้อมูลจาก Pew Research Center ระบุว่า ผู้บริโภค 41% ไม่ใช้เงินสดซื้อของในช่วงสัปดาห์ปกติ ดังนั้นเพื่อให้ทันกับการเปลี่ยนแปลง เจ้าของธุรกิจจึงต้องใช้และเข้าใจบทบาทของผู้ให้บริการชำระเงิน มาติดตามข้อมูลจากเรา เพื่อเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับลักษณะและระบบการทำงานของผู้ประมวลผลการชำระเงิน สิ่งที่ควรพิจารณาเมื่อเลือกใช้ พร้อมการจัดอันดับ 5 บริษัทผู้ประมวลผลการชำระเงินชั้นนำ
ผู้ประมวลผลการชำระเงิน คืออะไร?
ผู้ประมวลผลการชำระเงิน คือผู้ขายที่จัดการด้านโลจิสติกส์ในการรับการชำระเงินด้วยบัตรเครดิตและบัตรเดบิต ผู้ให้บริการชำระเงินจะส่งข้อมูลบัตร จากจุดที่ลูกค้าใส่รายละเอียดบัตรเครดิต เช่น เครื่องอ่านบัตร, หน้าชำระเงินบนเว็บขายของออนไลน์ หรือแม้แต่ฮาร์ดแวร์พิเศษที่เชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟน ไปยังสถาบันการเงินต่างๆ ที่มีส่วนร่วมในธุรกรรมนั้นๆ
ผู้ให้บริการชำระเงินยังมีบทบาทสำคัญในการรักษาความปลอดภัยของการชำระเงินออนไลน์ โดยทำหน้าที่ตรวจสอบว่าบัญชีธนาคารของลูกค้ามีเงินเพียงพอและบัตรเครดิตมีวงเงินเพียงพอ และยังสามารถยังปกป้องข้อมูลทางการเงินที่ละเอียดอ่อนของลูกค้า ไม่ให้ถูกเข้าถึงโดยบุคคลที่ไม่ประสงค์ดี
ผู้ประมวลผลการชำระเงิน มีลักษณะอย่างไร?
ผู้ประมวลผลการชำระเงิน (Payment Processor) คือผู้ที่ทำหน้าที่เบื้องหลังในการทำธุรกรรม เมื่อร้านขายสินค้าออนไลน์รับการชำระเงินด้วยบัตร โดยการเคลื่อนย้ายเงินจากบัญชีของลูกค้าไปยังบัญชีผู้ค้า ซึ่งมักเกิดขึ้นในพริบตา มาดูขั้นตอนพร้อมๆ กัน
1. ลูกค้าให้ข้อมูลบัตร
ลูกค้าให้ข้อมูลบัตรแก่ผู้ค้า ซึ่งอาจทำได้ทั้งบนเครื่องอ่านบัตรในร้านค้าจริง บนหน้าจ่ายเงินในเว็บไซต์ ผ่านฮาร์ดแวร์มือถือ หรือผ่านวิธีการชำระเงินอื่นๆ
2. โครงสร้างพื้นฐานการชำระเงินจัดการคำขอ
ข้อมูลบัตรของลูกค้าจะถูกส่งผ่านเกตเวย์การชำระเงินไปยังผู้ให้บริการชำระเงิน จากนั้นผู้ให้บริการจะเริ่มต้นธุรกรรมอย่างเป็นทางการ โดยการส่งข้อมูลไปยังเครือข่ายธนาคาร (สำหรับบัตรเดบิต) หรือเครือข่ายบัตร เช่น Mastercard, Visa หรือ American Express เพื่อขออนุญาต
จากนั้นธนาคารหรือเครือข่ายบัตรจะส่งข้อมูลกลับไปยังผู้ให้บริการว่าการชำระเงินนี้ได้รับการอนุมัติหรือไม่ หากการชำระเงินได้รับการอนุมัติ ผู้ค้าก็จะทำธุรกรรมนี้จนเสร็จ แต่หากการชำระเงินถูกปฏิเสธ ผู้ค้าจะแจ้งลูกค้า และลูกค้าอาจลองใช้วิธีการชำระเงินอื่น
3. เงินถูกโอน
เมื่อธุรกรรมได้รับการอนุมัติและเสร็จสิ้น ผู้ให้บริการชำระเงินจะแจ้งธนาคารหรือบริษัทบัตรเครดิต (เรียกว่า “ธนาคารที่ออกบัตร”) ว่าต้องส่งเงินไปยังธนาคารของผู้ค้า (เรียกว่า “ธนาคารที่รับเงิน”)
เงินจะถูกส่งไปยังบัญชีของผู้ค้า (ซึ่งตั้งขึ้นโดยผู้ให้บริการผู้ค้า) ซึ่งอาจเกิดขึ้นทันทีหรือภายในไม่กี่วันทำการ ขึ้นอยู่กับผู้ให้บริการชำระเงินและประเภทของบัญชีธนาคารที่รับเงิน
ผู้ค้าสามารถโอนเงินเหล่านั้นไปยังบัญชีธนาคารของธุรกิจของตนได้
จัดอันดับ 5 ผู้ประมวลผลการชำระเงินชั้นนำ
มีผู้ให้บริการชำระเงินจำนวนมากในตลาดให้เจ้าของธุรกิจเลือกใช้ โดยเราได้เลือกบริการชั้นนำ 5 ราย มาแชร์ให้กับคุณ ไปดูกันเลย
1. Square
Square เป็นหนึ่งในผู้ให้บริการชำระเงินที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในตลาดอเมริกา ซึ่งคุณอาจเคยเห็นเครื่องอ่านบัตรสีขาวที่มีชื่อเสียงบนเคาน์เตอร์ของร้านกาแฟหลายแห่งในอเมริกา หรือรุ่นขนาดนิ้วหัวแม่มือที่เสียบเข้ากับสมาร์ทโฟนได้
อินเทอร์เฟซของ Square นั้นดูสะอาด เรียบ และเข้าใจง่าย ทำให้ได้รับความนิยม โดย Square คิดค่าธรรมเนียม 2.6% สำหรับการซื้อในร้าน และ 2.9% บวก 30 เซนท์ (ประมาณ 10 บาท) สำหรับธุรกรรมออนไลน์ โดยราคาสามารถเปลี่ยนแปลงได้เล็กน้อยระหว่างรุ่นฟรีและรุ่นสมัครสมาชิกของซอฟต์แวร์ Square
บริษัทจะให้เครื่องอ่านบัตรฟรีหนึ่งเครื่อง เมื่อคุณลงทะเบียนซื้อแพคเกจ โดยหลังจากนั้นฮาร์ดแวร์มีราคาอยู่ระหว่าง 10 ถึง 149 ดอลล่าห์ (ประมาณ 340 ถึง 5,100 บาท)
2. Payment Depot
ลูกค้าของ Payment Depot จะต้องจ่ายค่าธรรมเนียมสมาชิกเดือนละ 79 ดอลล่าห์ (ประมาณ 2,700 บาท) เมื่อมีการทำธุรกรรมทางบริษัทผู้ประมวลผลการชำระเงิน Payment Depot จะเรียกเก็บค่าธรรมเนียมเพิ่มเติมแบบคงที่ โดยไม่มีการเพิ่มราคาในอัตราการแลกเปลี่ยน ค่าธรรมเนียมคงที่อยู่ระหว่าง 15 เซนต์ (ประมาณ 15 บาท) ต่อธุรกรรม สำหรับแพคเกจรายเดือนที่ราคาถูกและมีฟีเจอร์น้อยที่สุด ไปจนถึง 7 ดอลล่าห์ (ประมาณ 240 บาท) สำหรับแพคเกจที่แพงที่สุด นอกจากนี้ระบบของ Payment Depot ยังสามารถใช้ได้กับฮาร์ดแวร์หลากหลายประเภท ทั้งเครื่องอ่านบัตร หรือระบบขายหน้าร้าน
3. Stripe
Stripe เป็นหนึ่งในตัวเลือกที่ปรับแต่งได้มากที่สุดในบรรดาผู้ประมวลผลการชำระเงินในตลาด เพราะมันถูกออกแบบมาโดยเฉพาะสำหรับนักพัฒนาเว็บที่สามารถปรับ API ของผลิตภัณฑ์ให้เหมาะสมกับความต้องการเฉพาะของแต่ละธุรกิจ การใช้ Stripe คุณสามารถรับบัตรเครดิต บัตรเดบิต และสกุลเงินดิจิทัลบางประเภทในมากกว่า 130 สกุลเงิน โดยคิดค่าธรรมเนียม 2.9% บวก 30 เซนท์ (ประมาณ 10 บาท) ต่อธุรกรรมบัตรที่สำเร็จ ยิ่งไปกว่านั้น Stripe ยังรวมเข้ากับร้านค้า Shopify ของคุณได้ง่าย
4. PayPal
PayPal เป็นตัวเลือกที่ได้รับความนิยมสำหรับเจ้าของธุรกิจที่มองหาผู้ให้บริการชำระเงินที่มีปริมาณการทำธุรกรรมต่ำ (ผู้ให้บริการที่ไม่ต้องจัดการธุรกรรมจำนวนมากในแต่ละวัน) เพราะต้นทุนเริ่มต้นต่ำ (ไม่มีค่าธรรมเนียมรายเดือน ไม่มีขั้นต่ำ) และใช้ได้ทั่วโลกในกว่า 200 ประเทศ 26 สกุลเงิน
PayPal มีการรวมเข้ากัเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซของคุณโดยตรง คิดค่าธรรมเนียม 2.9% บวก 49 เซนท์ (ประมาณ 16 บาท) ต่อธุรกรรมในสหรัฐอเมริกาสำหรับการชำระเงินด้วยบัตรเครดิตและบัตรเดบิตมาตรฐาน 2.29% บวก 9 เซนท์ (ประมาณ 9 บาท) ต่อธุรกรรมในสหรัฐอเมริกาสำหรับธุรกรรม QR code และ 3.49% บวก 49 เซนท์ (ประมาณ 16 บาท) ต่อธุรกรรมในสหรัฐอเมริกา
5. Payline Data
Payline Data ให้ผู้ค้าได้รับการชำระเงินออนไลน์จากร้านค้าและผ่านแอปมือถือ บริษัทยังให้โอกาสในการขอสินเชื่อเงินสด การเข้าถึงข้อมูลลูกค้า และการรวมเข้ากับ QuickBooks ซึ่งเป็นบริการลูกค้าที่จะได้รับการตรวจสอบอย่างดี โดยสัญญาของพวกเขาเป็นแบบรายเดือนและบริษัทเรียกเก็บค่าธรรมเนียมการแลกเปลี่ยนบวก 0.4% และ 10 เซนท์
(ประมาณ 3 บาท) ต่อธุรกรรมการใช้บัตร และบวก 0.75% และ 20 เซนท์ (ประมาณ 6 บาท) ต่อหนึ่งธุรกรรมออนไลน์
วิธีเลือกผู้ประมวลผลการชำระเงินอย่างมีประสิทธิภาพ
เมื่อเลือกผู้ให้บริการชำระเงิน ควรพิจารณาโครงสร้างค่าธรรมเนียม และดูว่าคุณจะต้องประมวลผลการชำระเงินในสกุลเงินต่างประเทศหรือไม่ โดยในการเช็คผู้ให้บริการชำระเงิน สิ่งที่ควรพิจารณา ได้แก่
- มีค่าธรรมเนียมเริ่มต้น หรือค่าธรรมเนียมการสมัครหรือไม่? แล้วค่าธรรมเนียมรายปีหลังจากนั้นราคาเท่าไหร่?
- มีค่าธรรมเนียมต่อธุรกรรมหรือไม่ พร้อมกับค่าธรรมเนียมรายเดือนด้วยหรือไม่?
- คุณจะต้องซื้อ หรือเช่าอุปกรณ์การประมวลผลบัตรเครดิต เช่น เครื่องอ่านบัตรในร้านหรือไม่?
- มีค่าธรรมเนียมเกตเวย์ในการเชื่อมต่อกับบัญชีผู้ค้าของคุณหรือไม่?
- คุณต้องรับผิดชอบค่าธรรมเนียม ในกรณีที่เกิดการเรียกคืนบัตรเครดิตหรือไม่?
- คุณต้องจ่ายค่าธรรมเนียมในการตรวจสอบที่อยู่ลูกค้าหรือรหัสไปรษณีย์ในการเรียกเก็บเงินหรือไม่?
- คุณต้องจ่ายค่าธรรมเนียมยกเลิก หากตัดสินใจหยุดใช้ผู้ให้บริการหรือไม่?
- คุณต้องรับการชำระเงินจากต่างประเทศหรือไม่?
ค้นหาผู้ให้บริการชำระเงินที่เหมาะกับธุรกิจของคุณ
หากธุรกิจของคุณรับชำระเงินด้วยบัตร คุณจำเป็นต้องมีผู้ให้บริการชำระเงิน แต่ไม่มีบริการใดบริการหนึ่งที่เหมาะกับทุกธุรกิจ ตามที่เห็นข้างต้น ผู้ประมวลผลการชำระเงินนั้นมีหลายโมเดล หลายระบบให้เลือกใช้ ซึ่งแต่ละตัวถูกออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของธุรกิจที่หลากหลาย ตั้งแต่ร้านค้าทั่วไป ไปจนถึงผู้ขายอีคอมเมิร์ซขนาดใหญ่
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับผู้ประมวลผลการชำระเงิน
ผู้ประมวลผลการชำระเงิน ทำหน้าที่อะไร?
ผู้ประมวลผลการชำระเงิน คือบริษัทที่ช่วยอำนวยความสะดวกในการโอนเงินระหว่างสองฝ่าย เช่น ผู้บริโภคและผู้ค้า โดยพวกเขาทำหน้าที่เป็นคนกลาง ระหว่างธนาคารของผู้บริโภคและธนาคารของผู้ค้า ซึ่งทำการโอนเงินจากผู้บริโภคไปยังผู้ค้าอย่างปลอดภัยและรับประกันว่าการชำระเงินจะถูกต้อง ผู้ประมวลผลการชำระเงินยังช่วยให้ผู้ค้าสามารถรับวิธีการชำระเงินหลายรูปแบบ รวมถึงบัตรเครดิต บัตรเดบิต และวิธีการชำระเงินดิจิทัลอื่นๆ
บริษัทผู้ประมวลผลการชำระเงินชั้นนำ มีที่ไหนบ้าง?
- PayPal
- Stripe
- Square
- Braintree
- Apple Pay
- Google Pay
- Authorize.net
- 2Checkout
- WePay
- Skrill
PayPal ถือเป็นผู้ประมวลผลการชำระเงินหรือไม่?
ใช่ PayPal เป็นผู้ให้บริการชำระเงิน ซึ่งเป็นบริการชำระเงินออนไลน์ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถส่งและรับการชำระเงินทั้งสินค้าและบริการ ถูกเลือกใช้โดยทั้งธุรกิจและบุคคล ในการประมวลผลการชำระเงินสำหรับการซื้อออนไลน์ การชำระเงินบิล และการโอนเงิน
สามารถพัฒนาระบบผู้ให้บริการชำระเงินของตัวเองได้หรือไม่?
ได้ คุณสามารถสร้างผู้ให้บริการชำระเงินของตัวเองได้ อย่างไรก็ตาม มันไม่ใช่เรื่องง่าย และต้องการความรู้และทรัพยากรอย่างมาก โดยคุณจะต้องคุ้นเคยกับระบบการประมวลผลการชำระเงิน บัญชีผู้ค้า และบริการที่เกี่ยวข้องกับการชำระเงินอื่นๆ
นอกจากนี้ คุณจะต้องมีเซิร์ฟเวอร์ที่ปลอดภัยและระบบการประมวลผลธุรกรรมที่ปลอดภัย และคุณจะต้องมีบัญชีผู้ค้ากับเกตเวย์การชำระเงิน
เช่น PayPal หรือ Stripe
และขั้นตอนสุดท้ายคือคุณจะต้องตั้งค่าบัญชีผู้ค้า ซึ่งเกี่ยวข้องกับการลงทะเบียนกับผู้ให้บริการชำระเงิน การตั้งค่าบัญชีผู้ค้า และการตั้งค่าเกตเวย์การชำระเงิน