การได้ลูกค้าคนแรกของคุณเป็นก้าวสำคัญสำหรับผู้ประกอบการทุกคน
แต่การปิดการขายครั้งแรกนั้นต้องใช้เวลาและความตั้งใจ ด้วยช่องทางการโปรโมทมากมายหลายร้อยช่องทาง วิธีการโปรโมทธุรกิจ การหาช่องทางที่เหมาะสมที่สุดสำหรับธุรกิจของคุณและให้ผลลัพธ์ที่คุ้มค่านั้นไม่ใช่เรื่องง่าย
หลายครั้งที่ผู้ประกอบการมักจะหลงไปกับการปรับแต่งร้านค้าออนไลน์ของตัวเองจนเกินไป แทนที่จะมุ่งเน้นไปที่สิ่งที่สำคัญที่สุด การดึงดูดผู้คนให้เข้ามาที่ร้านของคุณ ลองท้าทายตัวเองดู หากคุณได้ทำตามเช็คลิสต์การเปิดตัวร้านค้า แล้ว ใช้เวลา 30 วัน ในการมุ่งเน้นไปที่การดึงดูดทราฟฟิกที่มีโอกาสจะซื้อสินค้าของคุณเท่านั้น
วิธีสร้างยอดขายแรก เข้าใจความสำคัญของการสร้างทราฟฟิกที่ตรงเป้าหมาย
ในฐานะเจ้าของร้านค้าออนไลน์ใหม่ บางครั้งคุณอาจจะรู้สึกว่าคุณกำลังพัฒนาร้าน ปรับสีแบรนด์ เปลี่ยนฟอนต์ ลังเลกับการตั้งราคา และจมอยู่กับรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ โดยที่ยังไม่ได้นำธุรกิจของคุณออกสู่สายตาของโลกภายนอก
แต่การปรับปรุงที่แท้จริงจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อคุณเปิดเผยธุรกิจของคุณให้โลกเห็น คุณจะไม่รู้ว่าคุณต้องปรับปรุงอะไรหากคุณไม่มีตัวชี้วัดที่ชัดเจน นั่นคือเหตุผลที่ทราฟฟิกมีความสำคัญ เพราะคุณจะไม่รู้ว่าผู้คนสนใจสินค้าของคุณหรือไม่หากคุณไม่ดึงดูดทราฟฟิก คุณจะไม่รู้ว่าราคาของคุณสูงเกินไปหรือไม่หากคุณไม่ดึงดูดทราฟฟิก (ยอดการเข้าชมเว็บร้าน) และคุณจะไม่รู้ว่าลูกค้ารู้จักแบรนด์ของคุณหรือไม่
ดังนั้นเราขอแนะนำให้คุณลองท้าทายตัวเอง
ไม่ว่าคุณจะอยู่ในขั้นไหนของธุรกิจ ให้ใช้เวลา 30 วันข้างหน้าในการมุ่งเน้นไปที่การดึงดูดทราฟฟิกที่ตรงเป้าหมาย มายังร้านค้าของคุณเป็นหลัก และเพื่อช่วยคุณเริ่มต้น เราได้รวบรวมกลยุทธ์การตลาดอีคอมเมิร์ซที่ใช้ได้กับทุกธุรกิจมาไว้ในเช็คลิสต์ พร้อมแหล่งข้อมูลสำหรับมือใหม่ที่สามารถเรียนรู้วิธีการดำเนินการได้ เราจะเริ่มต้นด้วยแหล่งทราฟฟิกฟรีที่ง่ายๆ ก่อน แล้วค่อยไปสู่การตลาดที่มีความเฉพาะเจาะจงมากขึ้นซึ่งอาจต้องใช้เวลาและการลงทุนทางการเงินมากขึ้น
สิ่งที่ควรรู้ก่อนเริ่มต้น
หากกลยุทธ์ใดไม่เหมาะกับร้านค้าของคุณ ให้ข้ามไป เช่น หากคุณขายคีย์บอร์ดคอมพิวเตอร์ Pinterest อาจไม่ใช่ตัวเลือกแรกของคุณ
ตั้งค่า Google Analytics ล่วงหน้า และติดตามทราฟฟิกอย่างใกล้ชิดเมื่อคุณเริ่มใช้แต่ละกลยุทธ์การตลาด ไม่ใช่ทุกอย่างที่จะได้ผล แต่การเรียนรู้และปรับปรุงอย่างรวดเร็วในช่วง 30 วันนี้จะเป็นกุญแจสำคัญในการทำยอดขายแรกของคุณ
แหล่งทราฟฟิกฟรี เริ่มจากสิ่งที่ง่ายที่สุด
แหล่งทราฟฟิกแรกที่ควรสำรวจคือแหล่งที่ฟรี ซึ่งมักจะเกี่ยวข้องกับการแชร์ร้านค้าของคุณด้วยตัวเองผ่านเครือข่ายของคุณและชุมชนออนไลน์ที่เกี่ยวข้อง
เนื่องจากแหล่งทราฟฟิกเหล่านี้สร้างได้ง่ายและสามารถใช้ได้กับเจ้าของร้านค้าออนไลน์ทุกคน จึงเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี ต่อไปนี้คือเคล็ดลับที่ควรคำนึงถึงเมื่อคุณเริ่มใช้แหล่งทราฟฟิกฟรี
เคล็ดลับ #1: ลองเสนอรหัสส่วนลด เพื่อสร้างความสนใจให้ผู้คนเข้ามาดูร้านค้าของคุณ ตัวอย่างเช่น The Jewelry Wardrobe ใช้ LinkedIn ในการติดต่อกับลูกค้าเป้าหมายโดยตรง โดยเสนอการ์ดของขวัญมูลค่า 25 ดอลลาร์ (ประมาณ 837 บาท) เพื่อแลกกับอีเมลและการตอบแบบสอบถาม
เคล็ดลับ #2: ทุกการกระทำที่คุณทำออนไลน์สามารถดึงทราฟฟิกกลับมาที่ร้านค้าของคุณได้ เช่น เพิ่ม URL ร้านค้าของคุณในโปรไฟล์ออนไลน์ของคุณ เช่น ใน Twitter หรือในโปรไฟล์ Disqus สำหรับการแสดงความคิดเห็นในบล็อก
เคล็ดลับ #3: อย่าส่งข้อความโปรโมทซ้ำๆ ที่ไม่มีคุณภาพ แต่ควรมุ่งเน้นไปที่การสร้างคุณค่าและการเชื่อมต่อที่แท้จริง
ใช้คอนเนคชั่นส่วนตัว
ผู้ประกอบการหลายคนได้ยอดขายแรกจากเครือข่ายส่วนตัวของพวกเขา และนั่นไม่ใช่เรื่องผิดอะไร ดังนั้น แบ่งปันร้านค้าของคุณใน Facebook, Twitter, LinkedIn, Instagram และ Snapchat ส่วนตัวของคุณเพื่อประกาศให้เครือข่ายของคุณทราบ
ลองส่งอีเมลถึงคนใกล้ชิดของคุณโดยตรงเพื่อบอกข่าวการเปิดตัวร้านค้าของคุณ และขอให้พวกเขาช่วยแชร์ต่อ แม้ว่าพวกเขาจะไม่ซื้อสินค้าก็ยังถือว่าเป็นการสนับสนุน
แม้ว่ายอดขายที่ได้จากวิธีนี้อาจจะไม่ตื่นเต้นเท่ากับการได้ลูกค้าจากคนแปลกหน้า แต่ก็เป็นวิธีที่ดีในการขอความคิดเห็นในช่วงแรก
หากคุณไม่ได้ยอดขายจากวิธีนี้ อย่าเพิ่งท้อใจ เพราะนี่เป็นแหล่งทราฟฟิกที่มีคุณภาพน้อยที่สุดในคู่มือนี้
วิธีนี้เหมาะกับ: ทุกคน (เพราะเราทุกคนมีเพื่อน/ครอบครัว/เพื่อนร่วมงาน) โดยเฉพาะผู้ที่มีเครือข่ายส่วนตัวขนาดใหญ่ใน Facebook, Instagram, Snapchat, Twitter หรือ LinkedIn
เข้าร่วมชุมชนออนไลน์
อย่าประเมินค่าของการใส่ลิงก์ร้านค้าของคุณในที่ที่เหมาะสมต่ำเกินไป โพสต์ในฟอรัมอย่าง Reddit เข้าร่วม กลุ่ม Facebook และหาชุมชนออนไลน์ที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมของคุณ แต่ละช่องทางเหล่านี้เป็นโอกาสในการเข้าถึงผู้คนที่สนใจในเรื่องเฉพาะ
เข้าร่วมกลุ่มที่ลูกค้าเป้าหมายของคุณมักจะอยู่ และเป็นสมาชิกที่มีส่วนร่วมในชุมชน หลังจากที่คุณได้สร้างชื่อเสียงและการเชื่อมต่อที่แท้จริงแล้ว คุณสามารถแชร์ลิงก์ร้านค้าของคุณได้ อาจจะพร้อมกับรหัสส่วนลด
คุณยังสามารถใช้กลุ่มเหล่านี้เพื่อขอความช่วยเหลือและคำแนะนำจากผู้ประกอบการที่มีประสบการณ์ ลองดูชุมชนเหล่านี้เป็นตัวอย่าง
- ห้องธุรกิจส่วนตัวบน Pantip
- ห้องอีคอมเมิร์ซ Pantip
- กลุ่ม Facebook Shopify Entrepreneurs
- กลุ่ม Facebook Grow and Sell
- กลุ่ม LinkedIn Bright Ideas and Entrepreneurs
- ชุมชน Shopify
วิธีนี้เหมาะกับ: ร้านค้าที่ขายให้กลุ่มเป้าหมายที่มีความสนใจเฉพาะ (เช่น เจ้าของสุนัข) อย่างไรก็ตาม ทุกคนสามารถใช้ประโยชน์จากกลุ่มสนับสนุนออนไลน์ที่เน้นผู้ประกอบการเพื่อขอคำแนะนำจากผู้ที่มีประสบการณ์ได้
การโฆษณาแบบเสียเงิน ใช้เงินเพื่อทำเงิน
วิธีที่ดีที่สุดในการทำเงินออนไลน์ คือการดึงดูดทราฟฟิกที่ตรงเป้าหมายอย่างรวดเร็วผ่านการโฆษณาแบบเสียเงิน ข่าวดีก็คือหลายช่องทางการโฆษณาแบบเสียเงินให้คุณจ่ายตามการคลิก ในบางกรณี คุณสามารถเริ่มต้นด้วยงบประมาณเพียง 300 บาท
แต่ละแพลตฟอร์มโฆษณามีความแตกต่างกัน คุณควรเลือกช่องทางตามกลุ่มเป้าหมายของคุณและวิธีการที่เครื่องมือเหล่านั้นช่วยให้คุณเข้าถึงผู้ซื้อที่มีศักยภาพได้ หากคุณกำลังมุ่งเน้นไปที่ประเทศใดประเทศหนึ่ง คุณอาจต้องตรวจสอบว่าเครือข่ายสังคมใดเป็นที่นิยมในตลาดนั้นๆ
ก่อนที่จะเริ่มโฆษณาบนโซเชียลมีเดียแบบเสียเงิน ควรเติมโพสต์ในโปรไฟล์หลักของคุณให้มีคอนเท้นต์บ้าง (การคัดเลือกคอนเท้นต์เป็นวิธีที่ง่าย) เพื่อไม่ให้โปรไฟล์ของคุณดูว่างเปล่าเมื่อมีผู้เยี่ยมชม
โฆษณาบน Facebook
จากการวิจัยของ Pew Research Facebook เป็นหนึ่งในเครือข่ายสังคมออนไลน์ที่ได้รับความนิยมมากที่สุด โดยมีฐานผู้ใช้ที่หลากหลายทั้งในด้านอายุ รายได้ เพศ และเชื้อชาติ
นั่นเป็นเหตุผลที่แบรนด์หลากหลายประเภทสามารถใช้ประโยชน์จากตัวเลือกการกำหนดเป้าหมายของ Facebook เช่น อายุ เพศ ตำแหน่งงาน ที่ตั้ง และความสนใจ เพื่อเข้าถึงลูกค้า
โดยเฉพาะตัวเลือกสุดท้าย ความสนใจ เป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์มาก คุณสามารถใช้เพจที่ผู้คนกดไลก์ใน Facebook เป็นพื้นฐานในการสร้างโปรไฟล์ผู้ซื้อที่เหมาะสมเพื่อกำหนดกลุ่มเป้าหมายของโฆษณาของคุณ
วิธีนี้เหมาะกับ: เจ้าของร้านค้าที่มีความเข้าใจชัดเจนว่าลูกค้าในอุดมคติของพวกเขาคือใครและพวกเขาชอบอะไร เช่น ร้านค้าที่ขายเสื้อยืดที่มีการอ้างอิงถึงวัฒนธรรมป๊อปสามารถหาผู้ชมได้ง่ายบน Facebook โดยการกำหนดเป้าหมายไปยังผู้ใช้ที่สนใจในไอคอนวัฒนธรรมป๊อป
United By Blue ใช้โฆษณา Facebook เพื่อโปรโมทสินค้าที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม พวกเขาสามารถกำหนดเป้าหมายไปยังผู้ใช้ที่สนใจในสิ่งแวดล้อมและการอนุรักษ์เพื่อโปรโมทเสื้อผ้าของพวกเขา ตัวอย่างนี้เป็นโฆษณาแบบคารูเซล ที่โปรโมทคอลเลกชันสินค้าต่างๆ
โฆษณาบน Instagram
รูปแบบภาพและกลุ่มผู้ใช้ที่เป็นคนรุ่นใหม่ของ Instagram ไม่ใช่เพียงเสน่ห์เดียวของแพลตฟอร์มนี้
Instagram ยังมีฐานผู้ใช้ที่มีการมีส่วนร่วมสูงที่สุดในบรรดาเครือข่ายสังคมออนไลน์ ตามข้อมูลจาก Smart Insights นอกจากนี้ยังเป็นแพลตฟอร์มที่ยอดเยี่ยมสำหรับการตลาดผ่านผู้มีอิทธิพล (Influencer Marketing) และโพสต์ปกติที่ไม่ได้เสียเงินก็ยังสามารถเข้าถึงผู้คนจำนวนมากได้หากคุณใช้ แฮชแท็กที่เกี่ยวข้อง หากคุณต้องการความช่วยเหลือในการสร้างสรรค์คอนเท้นต์ เครื่องมืออย่าง Taler สามารถช่วยคุณค้นหา เทมเพลต Instagram Story ที่เหมาะสมได้
ด้วยการโฆษณาบน Instagram คุณสามารถแสดงโฆษณาของคุณในฟีดของผู้ใช้คนอื่นเพื่อดึงดูดทราฟฟิก แบรนด์ความงามและผลิตภัณฑ์ดูแลผิวอย่าง Follain ใช้โฆษณา Instagram เพื่อโปรโมทสินค้าตัวอย่างฟรี โฆษณานี้มีการดูมากกว่า 3,600 ครั้ง
Brandless ใช้โฆษณา Instagram เพื่อกระตุ้นยอดขายสินค้า โดยใช้วิดีโอเพื่อแสดงสินค้า
วิธีนี้เหมาะกับ: ธุรกิจแฟชั่น อาหาร ฟิตเนส และอุตสาหกรรมที่มีภาพลักษณ์ที่โดเด่น หากคุณมีภาพถ่ายสินค้าที่มีคุณภาพสูงและน่าสนใจ และต้องการทำการตลาดกับคนรุ่นใหม่ ลองใช้ Instagram ดู
การตลาดบน Pinterest
Pinterest เป็นช่องทางที่มักถูกมองข้าม แต่ก็เป็นช่องทางที่มีฐานผู้ใช้ที่ชัดเจนที่สุด จากข้อมูลของ Pinterest ส่วนใหญ่เป็นผู้ใช้เพศหญิง และ HootSuite ระบุว่าผู้ใช้เหล่านี้หลายคนมีรายได้ที่สามารถใช้จ่ายได้ นอกจากนี้ คุณยังสามารถดึงดูดทราฟฟิกได้มากผ่านทั้งการทำการตลาดฟรีและแบบเสียเงิน
การใช้ Pinterest คล้ายกับการเก็บรวบรวมไอเดีย ผู้ใช้สร้างบอร์ดเพื่อเก็บและบันทึก "Pins" ตามธีมที่เฉพาะเจาะจง มักใช้เพื่อวางแผนงานอีเวนต์ บันทึกบทความที่น่าสนใจ และรวบรวมแฟชั่น ดังนั้นควรคำนึงถึงสิ่งนี้เมื่อคุณโฆษณาบน Pinterest
จาก Promoted Pins ไปจนถึง Buyable Pins Pinterest มีเครื่องมือมากมายที่ทำให้การทำการตลาดเป็นเรื่องง่าย
วิธีนี้เหมาะกับ: แฟชั่น การตกแต่งบ้าน อาหาร งานศิลปะ การออกแบบ และอุตสาหกรรมที่ภาพลักษณ์มีความสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณกำลังเรียนรู้ วิธีการขายสินค้าออนไลน์ ให้กับกลุ่มผู้หญิง
โฆษณานี้จากบริษัทชุดชั้นใน ThirdLove นำผู้ใช้ไปยังหน้าสินค้าโดยตรง ซึ่งมีลักษณะและความรู้สึกคล้ายคลึงกัน
โฆษณา Google
สิ่งแรกที่หลายคนทำเมื่อพวกเขาต้องการซื้อสินค้าคือการค้นหาบน Google Google Ads (ชื่อเดิมคือ Google AdWords) ช่วยให้เว็บไซต์ของคุณแสดงอยู่ด้านบนของหน้าผลลัพธ์เมื่อผู้ใช้ค้นหาคำที่เกี่ยวข้อง
Google Ads มีตัวเลือกหลายแบบ: โฆษณาแบบข้อความที่แสดงในผลการค้นหาอย่างเด่นชัด และโฆษณา Shopping Ads ที่แสดงภาพสินค้าพร้อมราคาในรูปแบบที่เหมาะกับอีคอมเมิร์ซมากขึ้น
ทำการค้นคว้าคำค้นหา เพื่อดูปริมาณการค้นหาสำหรับคำที่ลูกค้าเป้าหมายของคุณอาจค้นหา หลายคนรู้สึกว่า Google Ads น่ากลัวเพราะอินเทอร์เฟซที่ซับซ้อน ดังนั้นลองจ้างผู้เชี่ยวชาญ Shopify หากคุณต้องการใช้โอกาสนี้แต่ต้องการให้ผู้เชี่ยวชาญจัดการให้
วิธีนี้เหมาะกับ: สินค้าที่กำลังเป็นที่นิยม ธุรกิจท้องถิ่น และสินค้าหรือบริการที่มีปริมาณการค้นหาสูง
อ่านเพิ่มเติม
-
วิธีใช้เงิน 100 บาทแรกของคุณบน Google Ads
-
6 ข้อผิดพลาดที่พบบ่อยใน Google Ads ที่คุณควรหยุดจ่ายเงิน
-
วิธีใช้ Google Remarketing สำหรับอีคอมเมิร์ซ
การเข้าถึง การสร้างความสัมพันธ์กับกลุ่มผู้ชมที่มีอยู่แล้ว
การสื่อสารเกี่ยวกับแบรนด์ของคุณจะไม่ค่อยมีประสิทธิภาพหากมาจากคุณเพียงคนเดียว โชคดีที่อินเทอร์เน็ตทำให้ทุกคนสามารถสร้างแพลตฟอร์มของตัวเองได้ และนั่นหมายความว่าคุณสามารถร่วมมือกับพวกเขาได้
ไม่เพียงแต่เทคนิคต่อไปนี้จะช่วยดึงดูดทราฟฟิก แต่ยังช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับแบรนด์ของคุณผ่านคอนเท้นต์ต่างๆ เช่น ข่าวหรือรีวิวสินค้า กล่าวคือ คุณจะได้ประโยชน์สองต่อจากการร่วมมือที่ประสบความสำเร็จ
จำไว้ว่า: เมื่อคุณเสนอความร่วมมือ คุณต้องถามตัวเองเสมอว่า "พวกเขาจะได้อะไรจากสิ่งนี้?"
ติดต่อบล็อกเกอร์
นี่คือความลับที่ไม่ค่อยเป็นความลับเกี่ยวกับคอนเท้นต์ออนไลน์ ผู้เผยแพร่คอนเท้นต์มักจะมองหาคอนเท้นต์ใหม่และเรื่องราวที่น่าสนใจอยู่เสมอ
ด้วยการนำเสนอที่ดีที่มีเรื่องราวที่น่าสนใจหรือสินค้าที่น่าดึงดูด คุณอาจสามารถได้รับการนำเสนอในบล็อกหรือสื่อที่ลูกค้าเป้าหมายของคุณอ่านได้ มองหาสื่อที่เข้ากับธุรกิจของคุณและลองเสนอความร่วมมือ
นี่คือแนวคิดบางประการที่คุณสามารถร่วมมือได้
- เขียนและส่งบทความรับเชิญ แบ่งปันความเชี่ยวชาญของคุณในหัวข้อหนึ่ง และใช้ประโยชน์จากประวัติผู้เขียนเพื่ออธิบายและลิงก์ไปยังธุรกิจของคุณ
- ขอรีวิวสินค้า มอบสินค้าของคุณให้บล็อกเกอร์ฟรีเพื่อแลกกับการรีวิว
- เสนอเรื่องราวข่าว ใช้เรื่องราวที่น่าสนใจเกี่ยวกับการเริ่มต้นธุรกิจของคุณหรือสินค้าที่ไม่เหมือนใครเป็นจุดขายในการสัมภาษณ์
ไม่ว่าคุณจะเลือกแบบไหน การนำเสนอของคุณต้องน่าสนใจทั้งกับนักเขียนหรือบรรณาธิการที่คุณติดต่อไปและกับผู้ชมของพวกเขา พิจารณาสื่อที่เหมาะสมก่อน แล้วค่อยดูขนาดของผู้ชมเป็นอันดับสอง
วิธีนี้เหมาะกับ: ผู้ประกอบการที่มีเรื่องราวเบื้องหลังที่น่าสนใจ สินค้าที่ไม่เหมือนใครที่บล็อกเกอร์ยังไม่เคยเห็นมาก่อน หรือผู้ประกอบการที่มีความเชี่ยวชาญในสาขาของตนเอง
ร่วมมือกับพันธมิตรเชิงกลยุทธ์
การเป็นพันธมิตรสามารถเป็นวิธีที่ดีในการนำสินค้าของคุณไปสู่สายตาของลูกค้าของผู้อื่น
กุญแจสำคัญคือการมองหาแบรนด์ที่ไม่เป็นคู่แข่งและมีแนวคิดเดียวกันที่ดึงดูดกลุ่มคนที่คุณต้องการอยู่แล้ว อาจใช้เวลานานและโชคในการหาพันธมิตรเหล่านี้ แต่ผลตอบแทนคือคุณสามารถสร้างสรรค์ได้อย่างเต็มที่กับลักษณะของความร่วมมือ
- จัดการประกวด โดยใช้สินค้าของคุณเป็นรางวัล
- จัดแพ็กเกจสินค้าตัวอย่างหรือส่วนลดพิเศษร่วมกับสินค้าที่เสริมกัน (เช่น ตัวอย่างเครื่องดื่ม กับการสั่งซื้อขวดน้ำของพันธมิตรของคุณ)
- สนับสนุนงานอีเวนต์
- สร้างสินค้าร่วมกัน
แบรนด์แว่นตา Prive Revaux เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการร่วมมือ โดยทำงานร่วมกับคนดังอย่าง เจมี ฟ็อกซ์ (Jamie Foxx), เฮลีย์ สไตน์เฟลด์ (Hailee Steinfeld) และ มาเดอลีน เพทสช์ (Madelaine Petsch) เพื่อเปิดตัวคอลเลกชันแว่นตา
วิธีนี้เหมาะกับ: ผู้ประกอบการที่มีการเชื่อมต่อกับผู้ประกอบการคนอื่นในอุตสาหกรรมของตนเอง หรือมีความสามารถในการสร้างความสัมพันธ์ทางธุรกิจ
ทำงานกับอินฟลูเอนเซอร์
ไม่ใช่แค่แบรนด์ใหญ่เท่านั้นที่สามารถใช้การรับรองจากคนดังในการทำการตลาดสินค้า
คุณสามารถทำงานร่วมกับอินฟลูฯ ผู้สร้างคอนเท้นต์ที่มีผู้ติดตามจำนวนมากในกลุ่มเป้าหมาย เพื่อเข้าถึงฐานแฟนคลับที่มีอยู่แล้วและสร้างคอนเท้นต์เกี่ยวกับสินค้าของคุณ
ผู้มีอิทธิพลมีอยู่ในทุกช่องทาง ตั้งแต่ YouTube ไปจนถึง Instagram และคุณสามารถติดต่อพวกเขาโดยตรงเพื่อเจรจาข้อตกลง หรือใช้แพลตฟอร์มที่เชื่อมโยงผู้สร้างคอนเท้นต์กับแบรนด์
- Grapevine: หนึ่งในตลาดผู้มีอิทธิพลที่ได้รับความนิยมมากที่สุด
- Famebit: การรับรองเริ่มต้นที่ 100 ดอลลาร์ (ประมาณ 3350 บาท)แต่ผู้มีอิทธิพลต้องมีผู้ติดตามอย่างน้อย 5,000 คนเพื่อเข้าร่วม
- Crowdtap: ตลาดขนาดเล็กกว่า แต่ให้คุณจูงใจการสร้างคอนเท้นต์ขนาดเล็กด้วยเงินหรือรางวัลอื่นๆ
วิธีนี้เหมาะกับ: แฟชั่นและเทคโนโลยี นอกจากนี้ยังมีโอกาสมากมายสำหรับแบรนด์ไลฟ์สไตล์ในการโปรโมทสินค้าผ่านการถ่ายภาพไลฟ์สไตล์โดยการทำงานร่วมกับผู้มีอิทธิพลใน Instagram
การตลาดแบบกองโจร (Guerrilla Marketing)
ไม่จำเป็นต้องดึงทราฟฟิกทั้งหมดทางออนไลน์ หากคุณกำลังประสบปัญหาในการทำยอดขายในช่วงแรก ลองนำการตลาดของคุณออกไปนอกโลกออนไลน์และกระจายข่าวด้วยตัวเอง
หากคุณขายปลอกคอสุนัข ลองไปที่สวนสุนัขในท้องถิ่นและแจกใบปลิวในขณะที่คุณพูดคุยกับผู้คน หรือหากคุณสามารถแจกตัวอย่างสินค้าของคุณได้ง่ายๆ ลองแจกฟรีเพื่อสร้างความสนใจ คุณยังสามารถสร้างความฮือฮาด้วยการเปิดร้านป๊อปอัพของคุณเอง
การตลาดแบบกองโจรต้องใช้ความกล้าและความคิดสร้างสรรค์ แต่ในโลกที่เชื่อมต่อกันอย่างทุกวันนี้ การบอกว่า "ลองดูเว็บไซต์ของฉันสิ" กับใครบางคนนอกโลกออนไลน์สามารถแปลเป็นทราฟฟิกออนไลน์ได้อย่างง่ายดาย
วิธีนี้เหมาะกับ: ผู้ประกอบการที่อยู่ใกล้สถานที่ที่มีการรวมกลุ่มของคนที่มีความสนใจคล้ายกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณเป็นคนที่ชอบเข้าสังคมและไม่มีปัญหาในการนำเสนอตัวเอง
เรียนรู้เพิ่มเติม: การตลาดแบบกองโจรคืออะไร? 9 ไอเดียแคมเปญเจ๋งๆ ที่คุณควรลองในปี 2022
วิเคราะห์ เพื่อหาทางปรับปรุงร้าน
ถึงจุดนี้ หวังว่าคุณจะได้ลองใช้กลยุทธ์ต่างๆ มากพอที่จะเห็นการเพิ่มขึ้นของทราฟฟิกและอาจจะได้ยอดขายบ้างแล้ว ความท้าทายนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อให้คุณสร้างวงจรป้อนกลับที่คุณนำร้านค้าของคุณออกสู่สายตาของผู้คน ตั้งมาตรฐานสำหรับประสิทธิภาพ และจากนั้นทำงานเพื่อปรับปรุงมัน
ดังนั้นตอนนี้คุณสามารถเริ่มวินิจฉัยปัญหาที่อาจเกิดขึ้น กับร้านค้าของคุณได้โดยดูจากแดชบอร์ดการวิเคราะห์ (ทั้งใน Shopify และ Google Analytics) รวมถึงความคิดเห็นที่คุณได้รับจากการโปรโมทร้านค้าของคุณ
มีหลายเหตุผลที่ลูกค้าอาจไม่ซื้อจากคุณ และคุณสามารถคาดเดาได้จากพฤติกรรมของทราฟฟิก
- หากคุณมีอัตราการตีกลับสูง—นั่นคือ ผู้เยี่ยมชมเข้ามาที่เว็บไซต์ของคุณแล้วออกไปทันที ทราฟฟิกของคุณอาจมีคุณภาพต่ำหรือร้านค้าของคุณอาจโหลดช้าเกินไป (คุณสามารถ ทดสอบได้ที่นี่)
- หากไม่มีคนหยิบสินค้าลงตะกร้า อาจเป็นเพราะคุณยังไม่พบ ความเหมาะสมระหว่างสินค้าและตลาด (ซึ่งในกรณีนี้คุณต้องหากลุ่มเป้าหมายที่เหมาะสมหรือทดลองสินค้าที่แตกต่างกัน) หรืออาจเป็นเพราะพวกเขายัง ไม่ไว้วางใจร้านค้าของคุณ พอที่จะซื้อ
- หากมีรถเข็นที่ถูกทิ้งจำนวนมาก อาจเป็นเพราะคุณต้องพิจารณาค่าจัดส่งใหม่
จากข้อมูลเหล่านี้ คุณสามารถเริ่มปรับแต่งสิ่งต่างๆ เกี่ยวกับร้านค้าของคุณเพื่อให้คุณมีโอกาสที่ดีกว่าเมื่อคุณเริ่มทำการตลาดรอบต่อไป
หากคุณต้องการไอเดียการตลาดเพิ่มเติม ลองดูพื้นฐานการตลาดอีคอมเมิร์ซ 17 กลยุทธ์ที่สามารถทำได้เพื่อเพิ่มยอดขาย
ออกไปเติบโต
การดึงดูดทราฟฟิก คือการเชื่อมต่อจุดระหว่างแบรนด์ของคุณและผู้ซื้อในโลกที่มีโอกาสมากมาย นั่นเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้การตลาดดูน่ากลัว เพราะมีโอกาสมากมายที่รออยู่
ไม่มีวิธีการใดวิธีการหนึ่งที่เหมาะกับทุกคน การสำรวจ ทดลอง ล้มเหลว และปรับปรุงเป็นวิธีเดียวที่จะค้นหาว่าอะไรได้ผลสำหรับคุณ ดังนั้นนำร้านค้าของคุณออกไปข้างนอก เพราะนั่นเป็นวิธีเดียวที่จะเติบโตได้ และหากคุณยังคงประสบปัญหา ลองดูคู่มือของเราเกี่ยวกับวิธีการวินิจฉัยและปรับปรุงร้านค้าของคุณหากคุณสร้างทราฟฟิกได้ แต่ขายไม่ออก
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับวิธีสร้างยอดขายแรก
ทำอย่างไรจึงจะขายของออนไลน์ชิ้นแรกได้?
เพื่อให้มั่นใจว่าจะขายอีคอมเมิร์ซครั้งแรกได้ ให้เพิ่มประสิทธิภาพหน้าผลิตภัณฑ์ของคุณด้วยคำอธิบายที่ชัดเจน รูปภาพที่มีคุณภาพ และรีวิวจากลูกค้า ดึงดูดลูกค้าที่มีศักยภาพผ่านโซเชียลมีเดีย เสนอส่วนลด และจัดโปรโมชั่น นอกจากนี้ ให้ใช้การโฆษณาแบบจ่ายเงินและกลยุทธ์แบบปากต่อปากเพื่อขยายการเข้าถึงของคุณ
เราจะดึงดูดลูกค้าให้เข้ามาดูร้านให้มากขึ้นได้อย่างไร?
เพิ่มปริมาณการเข้าชมร้านค้าโดยปรับแต่งเว็บไซต์ของคุณให้เหมาะกับเครื่องมือค้นหา และดึงดูดลูกค้าที่มีศักยภาพบนโซเชียลมีเดีย เสนอส่วนลดและโปรโมชั่นเป็นประจำ และสร้างประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ที่เป็นมิตรกับผู้ใช้
การขายอีคอมเมิร์ซเป็นยังไง?
การขายอีคอมเมิร์ซ เริ่มต้นด้วยการสร้างหน้าร้านออนไลน์และดึงดูดลูกค้าผ่าน SEO การตลาดคอนเท้นต์ และลงโฆษณา กระตุ้นการซื้อด้วยข้อมูลสินค้าที่น่าสนใจและกระบวนการชำระเงินที่ปลอดภัย ดำเนินการและจัดส่งสินค้าอย่างมีประสิทธิภาพหลังจากการขาย ติดตามลูกค้าเพื่อสร้างความภักดีและกระตุ้นให้เกิดการซื้อซ้ำ โดยใช้อีเมลและโซเชียลมีเดีย