การเพิ่มจำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์เป็นสิ่งสำคัญอันดับแรกสำหรับธุรกิจอีคอมเมิร์ซ แต่คุณจะดึงดูดผู้เข้าชมไปยังร้านค้าออนไลน์ของคุณได้อย่างไรโดยไม่ต้องใช้เงินจำนวนมากในการโฆษณาและการตลาด? คำตอบคือการรู้วิธีใช้ประโยชน์จาก eCommerce SEO
การปรับแต่งเว็บไซต์ให้เหมาะสมกับเครื่องมือค้นหา (SEO) สำหรับร้านขายของออนไลน์ คือการปรับแต่งเว็บให้ตรงตามแนวทางที่ดีที่สุดของเครื่องมือค้นหา และการอัปเดตคอนเทนต์ให้ตอบโจทย์ถึงสิ่งที่ลูกค้าของคุณกำลังค้นหา
ประโยชน์ของ SEO สำหรับเจ้าของร้าน นอกจากจะเป็นการเพิ่มผู้เข้าชมแล้ว ยังเป็นการสร้างการรับรู้แบรนด์ และยอดขาย แต่ด้วยการปรับอัลกอริธึมของเครื่องมือค้นหาที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม การรู้วิธีจัดการกับการปรับแต่งการค้นหาอาจเป็นเรื่องยาก
ดังนั้น เราจึงนำเสนอคู่มือนี้ โดยข้อมูลที่คุณจะได้อ่านจะครอบคลุมพื้นฐานของ eCommerce SEO รวมถึงวิธีการค้นคว้าคำหลัก การจัดโครงสร้างเว็บไซต์ และการสร้างคอนเทนต์สำหรับหน้าสินค้า ทั้งหมดนี้รวมกับเช็คลิสต์ SEO เรามั่นใจว่าคุณจะพร้อมที่จะดันเว็บร้านออนไลน์ของคุณให้ติดอันดับและเก็บเกี่ยวผลตอบแทนจากการทำ eCommerce SEO
eCommerce SEO คืออะไร?
eCommerce SEO คือกระบวนการเพิ่มความสามารถในการมองเห็นของร้านค้าออนไลน์ในหน้าผลลัพธ์ของเครื่องมือค้นหา (หรือที่เรียกว่า SERPs)
งานที่เกี่ยวข้องกับการตลาด SEO สำหรับอีคอมเมิร์ซมีความหลากหลาย รวมถึงการสร้างคอนเทนต์ที่ตอบโจทย์ต่อคำค้นหาที่พิมพ์ลงในเครื่องมือค้นหา ตัวอย่างเช่น ร้านค้าอีคอมเมิร์ซอย่าง True Classic ที่ขายเสื้อยืด สามารถปรับปรุง SEO ของเว็บไซต์ โดยการสร้างคอนเทนต์เกี่ยวกับ “วิธีพับเสื้อยืดไม่ให้ยับ”
กิจกรรม eCommerce SEO อื่นๆ รวมถึงการเพิ่มความเร็วในการโหลดหน้า เขียนคำอธิบายผลิตภัณฑ์อย่างละเอียด และการสร้างลิงก์จากเว็บไซต์ที่มีค่าพลังสูง
เว็บไซต์อีคอมเมิร์ซใช้ SEO เป็นกลยุทธ์เพื่อสร้างการเข้าชมให้มากขึ้น ดึงดูดผู้เข้าชมที่ป้อนคำค้นหาที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์และแบรนด์ของพวกเขา
ทำไมเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซถึงให้ความสำคัญกับ SEO
เมื่อคุณค้นหาสิ่งใดสิ่งหนึ่งใน Google คุณจะถูกนำไปยังหน้าผลลัพธ์ของเครื่องมือค้นหา (SERP) ระบบจะแสดงผลลัพธ์แบบออร์แกนิก (แบบไม่สปอนเซอร์หรือโฆษณา) ประมาณ 10 รายการ
ผลลัพธ์ออร์แกนิกเหล่านี้ปรากฏอยู่ด้านล่างโฆษณาที่ต้องชำระเงิน (ในกรอบส้ม) และโฆษณา Google Shopping (ในกรอบม่วง)
eCommerce SEO คือการทำให้หน้าสินค้าของคุณปรากฏอยู่ในผลลัพธ์การค้นหาออร์แกนิกที่สูงที่สุดในหน้าแรกของ Google เว็บไซต์ที่ไม่ติด 1 ใน 10 อันดับแรกมักจะไม่ค่อยมีคนเข้าชม และแม้แต่เว็บไซต์ที่อยู่ในอันดับที่สามถึงห้าก็ยังได้รับการเข้าชมน้อยกว่าผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
😲 รู้หรือไม่?: บริษัท SEO Backlinko พบว่าเพียง 0.63% ของผู้ค้นหาเลือกคลิกที่เว็บไซต์ที่ปรากฏในหน้า 2 ของผลการค้นหาบนGoogle
นอกจากนี้ยังรายงานว่าผลลัพธ์แรกใน SERP ของ Google ได้รับคลิก 27.6% จากการคลิกทั้งหมด กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ SEO มีความสำคัญ
ดังนั้น เป้าหมายคือการทำให้ติดอันดับให้สูงที่สุดในหน้าผลลัพธ์ของ Google, Bing และ Yahoo สำหรับคำค้นหาที่เกี่ยวข้องกับสินค้าของคุณ รวมถึงการค้นหาที่อาจเกี่ยวข้อง
6 กลยุทธ์การตลาดแบบ eCommerce SEO
หากคุณเป็นมือใหม่ในด้านการปรับแต่งเครื่องมือค้นหาและต้องการเพิ่มอันดับของร้านของคุณบน Google มาติดตาม 6 เคล็ดลับด้านล่างนี้ ขั้นตอนที่สามารถนำไปปฏิบัติได้จริง ในการตั้งค่าพื้นฐานที่ดีของ eCommerce SEO ให้กับเว็บไซต์ของคุณ
ทางลัดไปที่ขั้นตอนทำ eCommerce SEO
1. การหาคำหลัก
ขั้นตอนแรกในกลยุทธ์ eCommerce SEO คือการระบุคำค้นหาที่มีมูลค่าสูง (หรือเรียกกันว่าคีย์เวิร์ด) ที่ลูกค้าเป้าหมายของคุณใช้ค้นหาสิ่งที่ต้องการ คุณสามารถทำได้ผ่านการค้นคว้าคำหลักสำหรับอีคอมเมิร์ซ ซึ่งสามารถทำได้หลายวิธี
การค้นคว้าคำหลัก (Keywords) สำหรับอีคอมเมิร์ซจะแตกต่างจากการค้นคว้าคำหลักแบบดั้งเดิมเล็กน้อย เพราะในขณะที่เว็บไซต์ส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับคำหลักเชิงข้อมูลเพียงอย่างเดียว คุณจะต้องมุ่งเป้าไปที่การผสมผสานระหว่างคำหลักเชิงข้อมูลและเชิงพาณิชย์ ดังนี้
ผู้ค้นหาคำหลักเชิงข้อมูลกำลังมองหาคำตอบ คู่มือ และคำอธิบาย บล็อกและเว็บไซต์ที่มีคอนเทนต์ส่วนใหญ่มักให้ความสำคัญกับคำเหล่านี้ ซึ่งร้านค้า Shopify และเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซอื่นๆ ก็มีบล็อกเช่นกัน โดยมุ่งเป้าไปที่คำหลักที่แสดงถึง เจตนาซื้อ เช่น “เสื้อกันฝนสำหรับสุนัข”
การคาดการณ์ของออโต้คอมพลีตบน Amazon และ Google
เมื่อคุณเริ่มพิมพ์คำค้นหาใน Google ฟีเจอร์ออโต้คอมพลีต จะช่วยแสดงคำค้นหาที่เกี่ยวข้อง
ออโต้คอมพลีตเหล่านี้สามารถเป็นแหล่งข้อมูลที่มีค่าในการหาแนวคิดคำหลัก โดยเฉพาะเมื่อคุณมีคำหลักพื้นฐานอยู่ในใจ (อย่าลืมตรวจสอบคำค้นหาที่เกี่ยวข้องที่ด้านล่างของ SERP ด้วย)
ออโต้คอมพลีตของ Amazon
คุณสามารถทำแบบเดียวกันบน Amazon โดยสิ่งที่ดีเกี่ยวกับผลการคาดการณ์ของ Amazon คือ ระบบมีโฟกัสที่สินค้าและสามารถรวมรายละเอียดเฉพาะลงในคำค้นหาได้ เช่น ราคา เป็นต้น
ลองสังเกตคำหลักแบบยาว ซึ่งมีความยาวมากกว่าและอธิบายรายการที่เฉพาะเจาะจงมากขึ้น คำหลักที่ยาวขึ้น หมายถึงการแข่งขันที่ต่ำลงและมักจะมีอัตราคอนเวิร์สชันที่สูงกว่า
คุณยังสามารถตรวจสอบว่า Amazon (และเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซขนาดใหญ่อื่นๆ) จัดโครงสร้างคอนเทนต์เพื่อเพิ่มความสามารถในการมองเห็นในการค้นหา ลองดูเมนูสินค้าที่เกี่ยวข้องเพื่อหาไอเดียหมวดหมู่คำหลัก
สมมติว่าคุณขายสินค้าแฟชั่นสำหรับผู้หญิง ก็ลองค้นหาหมวดหมู่นั้นใน Amazon ตอนนี้คุณจะเห็นวิธีต่างๆ ที่ Amazon จัดเรียงสินค้านั้นๆ
คุณสามารถใช้วิธีการเดียวกันนี้บนแพลตฟอร์มอื่นๆ ได้เช่นกัน
เครื่องมือค้นคำหลัก
สำหรับการค้นคว้าคำหลักที่ซับซ้อนมากขึ้น คุณจะต้องใช้ เครื่องมือ SEO ฟรี ซึ่งเครื่องมือที่ได้รับความนิยมมากที่สุดคือ Ahrefs
เครื่องมือเหล่านี้ให้ความสามารถในการค้นคว้าและวิเคราะห์คำหลักเป็นกลุ่ม
สมมติว่าคุณแข่งขันกับ BustedTees ร้านค้าเสื้อยืดธีมเก๋ไก๋ ขั้นแรกก็การป้อนโดเมนคู่แข่งลงในเครื่องมือค้นคว้าคำหลัก เช่น Ahrefs และคลิกที่คำหลักออร์แกนิกที่ด้านบน
เลื่อนลงไปดูคำหลักทั้งหมดที่ BustedTees ติดอันดับอยู่ในขณะนี้ คุณจะเห็นเมตริกต่างๆ เช่น ปริมาณการค้นหาและตำแหน่งที่เว็บถูกจัดอันดับ ด้วยภาพรวมของการครอบคลุม SERP ของคู่แข่ง คุณอาจตัดสินใจได้ว่าควรเลือกใช้คีย์เวิร์ดไหนในการลงสนามสู้กับคู่แข่ง
การเลือกคำหลักที่เหมาะสมกับร้านของคุณ
ไม่มีเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซไหนสามารถมุ่งเป้าไปที่คีย์เวิร์ดทุกคำ ขึ้นอยู่กับลูกค้าและสินค้า และคุณจะต้องตัดสินใจว่าคำหลักใดที่ควรพยายามจัดอันดับ พิจารณาปัจจัยต่อไปนี้
ปริมาณ
คำค้นหาที่มีปริมาณการค้นหาสูง หมายถึงการเข้าชมที่มีศักยภาพมากขึ้น คุณสามารถค้นพบปริมาณการค้นหาคำหลักโดยใช้ Ahrefs หรือเครื่องมือฟรี เช่น Google Keyword Planner
การแข่งขัน
การแข่งขันที่ต่ำกว่าจะทำให้คุณมีโอกาสสูงขึ้นในการติดอันดับ เครื่องมือ SEO จะแสดงความยากลำบากในการแข่งขันของคำหลัก (KD)
ความเกี่ยวข้อง
หน้าเว็บผลิตภัณฑ์หรือหมวดหมู่ของคุณมีความเกี่ยวข้องกับคำค้นหานั้นมากน้อยเพียงใด? นี่คือปัจจัยการจัดอันดับที่สำคัญที่มักถูกมองข้าม Stick to keywords that your products would genuinely satisfy. You’re not foolin’ Google.
เจตนา
เลือกคำหลักที่แสดงถึงเจตนาซื้อหรือเรียนรู้เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ โดยปกติแล้วคุณสามารถประเมินเจตนาได้เพียงแค่ดูที่คำหลัก ตัวอย่างเช่น หากคุณเป็นเจ้าของร้านขายชุดแต่งงาน คำค้นหาใดมีเจตนาที่เกี่ยวข้องมากกว่า ระหว่าง “ชุดแต่งงานทรงบอลกาวน์” หรือ “ชุดทำงาน”?
💡 คำหลักที่ดีที่สุดเป็นแบบไหน? คำที่มีการค้นหาสูงและการแข่งขันต่ำ และสอดคล้องกับคอนเทนต์บนเว็บไซต์ของคุณ
2. โครงสร้างเว็บไซต์
เมื่อพูดถึง eCommerce SEO วิธีการจัดระเบียบและโครงสร้างของหน้าในเว็บไซต์ มีผลต่อการจัดอันดับของกูเกิ้ล
โครงสร้างเว็บไซต์ยังส่งผลต่อประสบการณ์ผู้ใช้ (UX) ซึ่งคุณต้องทำให้มีคนคลิกเข้ามาดู รวมถึงทำให้บอทของกูเกิ้ลหาคอนเทนต์ในร้านค้าของคุณให้เจอด้วย
เมื่อคุณเพิ่มและลบสินค้าหรือหมวดหมู่ อาจทำให้โครงสร้างเว็บไซต์ซับซ้อนได้ ดังนั้นก่อนที่คุณจะพัฒนาเว็บไซต์ สิ่งที่ไม่ควรลืม ได้แก่
- ทำโครงสร้างเว็บไซต์ให้เรียบๆ และง่ายต่อการขยาย เมื่อร้านค้าของคุณเติบโต
- ทุกหน้าของเว็บไซต์สามารถเข้าถึงได้ภายในไม่กี่คลิก ดูแล้วใช้ง่าย
ความเรียบง่ายเป็นสิ่งที่มักถูกมองข้าม คุณไม่ต้องการให้ผู้เข้าชมต้องคอยกดปุ่มย้อนกลับบนเว็บไซต์ หรือต้องคลิกวนไปมาเพื่อหาสิ่งที่ต้องการ นอกจากนี้ การต้องมาคอยจัดระเบียบและจัดเรียงโครงสร้างเว็บทุกครั้งที่คุณเพิ่มหมวดหมู่หรือสินค้าใหม่ ก็ยังเป็นงานที่ดูยุ่งยากเกินจำเป็น
ตามปกติแล้วค่า DA (ค่าความน่าเชื่อถือของโดเมน) ของเว็บไซต์คุณจะอยู่ที่หน้าหลัก เนื่องจากเป็นหน้าที่ธุรกิจอื่นๆ ลิงก์ไปถึง ดังนั้นยิ่งหน้าสินค้าอยู่ห่างจากหน้าแรกมากเท่าไหร่ ค่า DA ก็จะยิ่งน้อยลงเท่านั้น
การจัดทำดัชนี (Indexing)
เมื่อใช้ SEO บนเว็บไซต์ คุณจะต้องเลือกใช้กลยุทธ์กับบางหน้าเว็บไซต์ในการทำดัชนีและเพื่อให้ติดอันดับ
ดัชนี คืออีกชื่อเรียกหนึ่งของฐานข้อมูลที่ใช้โดยเครื่องมือค้นหา ดังนั้นการจัดทำดัชนีหน้า (Indexing) ก็หมายถึงการเพิ่มหน้าเว็บไซต์นั้นๆ ลงในฐานข้อมูล กกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ Google รับรู้และรู้จักหน้าเว็บไซต์ของคุณและได้เพิ่มลงในผลลัพธ์การค้นหา
สำหรับคำแนะนำเกี่ยวกับการจัดทำ Indexing ให้ดูเคล็ดลับเหล่านี้จาก Aleyda Solis ผู้ก่อตั้งบริษัทรับทำ SEO Orainti
Aleyda แนะนำให้ระบุประเภทหน้าที่เหมาะกับการจัดทำดัชนี จากนั้นให้ทำการปรับแต่ง โดยหน้าเหล่านั้นควรตอบสนองความต้องการของผู้ชมจริงๆ
“หนึ่งในปัญหาที่พบบ่อยที่สุดสำหรับเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซ คือคอนเทนต์ที่ไม่ได้คุณภาพ รวมถึงการคัดลอกคอนเทนต์” Aleyda กล่าว
“คอนเทนต์ที่ไม่ได้คุณภาพ (Thin content) ที่พบบนเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซนั้น ส่วนใหญ่หมายถึง หน้าเว็บที่มีเนื้อหาจริงๆ ไม่มากนัก และยังมีการใช้ข้อความซ้ำๆ กันในหน้าสินค้าหลายๆ รายการ ซึ่งสิ่งนี้ส่งผลในแง่ลบต่อการทำ SEO”
“การเพิ่มคอนเทนต์บล็อกลงในเว็บไซต์ร้านค้าออนไลน์เป็นวิธีที่ดีในการช่วยลดปริมาณคอนเทนต์ที่ไม่ได้คุณภาพ (Thin Content)”
วิธีที่ง่ายที่สุดในการจัดการกับการคอนเทนต์ที่ซ้ำกันคือการซ่อนหน้าเว็บจากเครื่องมือค้นหา ซึ่งเรียกว่า non-indexing อย่างไรก็ตาม คุณยังสามารถสร้างคอนเทนต์ที่มีประโยชน์บนหน้านั้นๆ เพื่อทำให้แตกต่าง สอดคล้อง และอยู่ในตลาดการแข่งขันได้
คุณยังสามารถ Canonical URL หน้าได้ โดยการ Canonicalize หน้า คือวิธีบอก Google ว่า URL น้นๆ เป็น “เวอร์ชันหลัก” ที่คุณต้องการแสดงในผลลัพธ์การค้นหา สิ่งนี้มีประโยชน์ในสถานการณ์ที่มีคอนเทนต์ซ้ำซ้อน เพราะหากไม่มีแท็ก Canonical นี้ก็อาจส่งผลให้ Google
- พลาดคอนเทนต์ที่ไม่ซ้ำ ขณะที่ตรวจสอบและผ่านไปเห็นคอนเทนต์ที่ซ้ำซ้อน
- ลดความสามารถในการติดอันดับของคุณ
- เลือกเวอร์ชันหลักที่ไม่ถูกต้องสำหรับคุณ
💡 รู้หรือไม่? หากคุณใช้ Shopify บรรดาแท็ก Canonical ที่สร้างโดยอัตโนมัติจะถูกเพิ่มลงในหน้า เพื่อป้องกันไม่ให้คอนเทนต์ซ้ำปรากฏในผลลัพธ์การค้นหา
Aleyda แนะนำเพิ่มเติมว่าควรทำ Noindexing หรือ Canonicalization เมื่อคุณพร้อม
“ลองประเมินก่อนว่ามีคำค้นหามากพอเกี่ยวกับลักษณะของผลิตภัณฑ์หรือไม่ เพื่อดูว่าถึงเวลาหรือยังที่จะจัดทำดัชนีหน้า” เธอกล่าว
“และหากคุณจะทำดัชนีหน้า ให้ถามตัวเองก่อนว่ามีคอนเทนต์ในหน้านั้นมากพอหรือไม่ และมันสอดคล้องกับวิธีที่ผู้ใช้ค้นหาอยู่หรือไม่ คุณอาจต้องขยายและปรับแต่งหน้าเพื่อให้มันมีความเกี่ยวข้องก่อน”
Aleyda แชร์แผนภาพนี้ เพื่อช่วยให้เห็นภาพกระบวนการตัดสินใจในการจัดทำ Indexing:
ข้อสรุปที่สำคัญคืออะไร? ไม่ใช่ทุกของโครงสร้างเว็บจะเหมาะกับการจัดทำดัชนีและปรับแต่ง ดังนั้นให้ลองพิจารณาและอ้างอิงจากแผนภาพข้างต้นจะเป็นการดีที่สุด
💡 เคล็ดลับจากผู้เชี่ยวชาญ: เพิ่ม Breadcrumbs ไปยังหน้าสินค้า เพื่อปรับปรุงการนำทางเว็บไซต์ ทั้งสำหรับลูกค้าและ Google เนื่องจาก Breadcrumbs จะเป็นตัวบอก Google ว่าเว็บไซต์ของคุณมีโครงสร้างอย่างไรและทำให้ผู้คนรู้ว่าพวกเขาอยู่ที่ไหนในร้าน
สังเกตว่า Allbirds ใช้ Breadcrumbs บนหน้าผลิตภัณฑ์เพื่อช่วยให้ผู้ใช้มีทิศทาง หากใครตัดสินใจไม่ซื้อรองเท้า Everyday พวกเขาสามารถคลิกกลับไปที่ Men's Shoes หรือหน้าแรกได้อย่างง่ายดาย ก่อนที่จะลองดูสินค้าอื่นๆ ต่อไป
ใช้แอป 3rd Party เช่น Category Breadcrumbs เพื่อโชว์เส้นทางที่ลูกค้าจะได้เดินทางผ่านหมวดหมู่บนเว็บไซต์ของคุณ
3. SEO ทางเทคนิค
SEO ทางเทคนิค คือการปรับแต่งเครื่องมือค้นหาที่ซ่อนอยู่ โดยผู้ซื้อไม่สามารถมองเห็นสิ่งนี้ได้ การทำ Technical SEO คือการปรับแต่งสำหรับการค้นหา มีความเร็วโหลดที่เหมาะสม และทำงานได้บนมือถือ โดยสรุปแล้ว SEO ทางเทคนิคช่วยให้
- การมีส่วนร่วมของเว็บไซต์ดีขึ้น เพราะโหลดเร็วและเข้าถึงได้ง่าย
- การเข้าชมออร์แกนิกมากขึ้น เพราะเว็บไซต์ง่ายต่อการค้นหา
วิธีปรับปรุง SEO ทางเทคนิคสำหรับอีคอมเมิร์ซ ยังรวมถึง
- สร้าง Internal Links อย่างมีเหตุผลด้วยเมนู
- ส่งแผนผังเว็บไซต์ไปยัง Google Search Console
- ปรับแต่งภาพเพื่อให้โหลดได้อย่างรวดเร็ว
💡 จ้างผู้เชี่ยวชาญด้าน SEO ทางเทคนิค เพื่อทำการตรวจสอบเว็บไซต์และปรับแต่งร้านค้าของคุณจากตลาดมือโปร Shopify
4. SEO On-page
เมื่อได้คำหลักและปรับโครงสร้างเว็บไซต์ของคุณพร้อมแล้ว ก็ถึงเวลาที่จะปรับแต่งคอนเทนต์บนหน้าที่มีมูลค่าสูงที่สุด ได้แก่
- หน้าหมวดหมู่สินค้า
- หน้าสินค้า
หากคุณใช้ Shopify คุณน่าจะทราบว่าร้านค้า Shopify รวมถึงฟีเจอร์ SEO หลายๆ อย่างเป็นอัตโนมัติ เช่น
- แท็ก Canonical ถูกเพิ่มเข้ามา
- ไฟล์ sitemap.xml และ robots.txt ของเว็บไซต์ถูกสร้างขึ้นออโต้
- ธีมสร้างแท็กชื่อที่รวมชื่อร้านของคุณ
- ธีมมีตัวเลือกการลิงก์และแชร์โซเชียลมีเดีย
แต่ฟีเจอร์อื่นๆ คุณอาจจะต้องลงมือปรับด้วยตัวเอง เช่น
- แก้ไขแท็ก Title และ Description เพื่อแทรกคำหลักของคุณลงไปใน Elements ดังกล่าว
- แก้ไขข้อความ Alt เพื่อให้แน่ใจว่าข้อความนั้นๆ อธิบายภาพได้อย่างถูกต้อง
- ตรวจสอบให้แน่ใจว่าชื่อไฟล์ของคุณมีคีย์เวิร์ดรวมอยู่ด้วย
- คิดอย่างรอบคอบเกี่ยวกับ URL สำหรับบล็อกโพสต์ หน้าเว็บ สินค้า และคอลเลกชัน
การปรับแต่งแท็กชื่อและคำอธิบายของคุณ อย่าลืมว่า Google เองก็จะรับรู้สิ่งเหล่านี้ด้วย และเป้าหมายหลักของคุณคือการติดอันดับในหน้าหนึ่ง ส่วนเป้าหมายรองคือการโน้มน้าวผู้ค้นหาให้คลิกเข้ามาที่เว็บไซต์ของคุณ
ตัวปรับแต่ง เช่น ข้อเสนอ 20% ฟรีค่าจัดส่ง สามารถช่วยเพิ่มคะแนนให้ได้ เมื่อคุณแทรกโปรโมชั่นนี้ในคำ Meta Description เพราะถือเป็นการใช้คำหลักแบบยาว
คำอธิบายสินค้า
ใน eCommerce SEO เครื่องมืออย่าง Google และอื่นๆ ใช้คอนเทนต์บนเว็บไซต์ของคุณในการตัดสินใจว่าคำหลักใดที่ควรถูกจัดอันดับ และหน้าเพจนั้นๆ ของคุณควรอยู่ในอันดับสูงเพียงใด
หากหน้าสินค้ามีคำอธิบายสั้นและไม่มีอะไรเพิ่มเติม Google จะไม่มีข้อมูลมากนักในการประเมิน นอกจากนี้ การคัดลอกและวางคำอธิบายจากผู้ผลิตหรือซัพพลายเออร์ก็ไม่ควรทำเช่นกัน เพราะถือว่าเป็นการใช้คอนเทนต์ที่ซ้ำซ้อน
ทางแก้ต้องทำยังไง? ก็ให้เขียนคำอธิบายที่ไม่ซ้ำกันลงไปใหม่ เขียนให้ครอบคลุมและดึงดูดความสนใจของผู้อ่าน ลงรายละเอียดเกี่ยวกับสินค้า เพราะคอนเทนต์มีคุณภาพสามารถช่วยปรับปรุงการจัดอันดับของหน้าสินค้าของคุณ รวมถึงลดคอนเทนต์ที่ไม่ได้คุณภาพได้ด้วย
นั่นคือเหตุผลที่คุณมักจะเห็นหน้าผลิตภัณฑ์ที่มีคำทั้งอธิบายยาวๆ รีวิว ฯลฯ ประกอบอยู่ในผลลัพธ์การค้นหาที่มีอันดับสูงกว่า
พยายามรวมคำหลักและหัวข้อย่อยที่เกี่ยวข้องในทุกส่วนของหน้า เพื่อช่วยให้ Google เข้าใจว่าคอนเทนต์ของคุณเกี่ยวกับอะไร
หากคุณไม่สามารถสร้างคอนเทนต์สำหรับผลิตภัณฑ์ทุกชิ้นได้ ให้มุ่งเน้นไปที่ผลิตภัณฑ์ที่ติดอันดับท้ายๆ ของหน้าแรก การผลักดันลักษณะนี้มักสร้างยอดคอนเวอร์ชันได้ง่ายกว่า เนื่องจากไม่ต้องไต่อันดับมากจนเกินไป
ยิ่งคุณเขียนมากเท่าไหร่ Google ก็จะสามารถจัดอันดับหน้าของคุณได้แม่นยำมากขึ้น ลูกค้าของคุณก็จะได้รู้ข้อมูลเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์เพิ่มเติมด้วย และมันอาจช่วยโน้มน้าวให้เกิดการซื้อได้
ใช้ประโยชน์จากคำหลัก LSI
LSI คือคำที่เกี่ยวข้องกับคำหลักแรกของคุณ ป้อนคำหลักของคุณใน Google Keyword Planner เพื่อค้นหาคำและวลีที่เกี่ยวข้องที่คุณสามารถใช้ในคอนเทนต์
คุณยังสามารถค้นหาคำหลัก LSI ผ่านการค้นหา Amazon ดูคำหลักแรก และตรวจสอบคำหลักรองที่ปรากฏซ้ำๆ
ตัวอย่างเช่น สมมติว่าคุณพยายามขายเครื่องปั่น คำว่า “14 Speed,” “450W,” และ “48oz Glass Jar” ปรากฏซ้ำหลายครั้ง แสดงว่าคำเหล่านี้เป็นปัจจัยและจุดขายที่แข็งแกร่งและมักจะเป็นองค์ประกอบทั่วไปของคำค้นหา
หากคุณได้รับการเข้าชมจากคำหลักแรก ให้พยายามไต่อันดับขึ้นไปยังหน้าหนึ่งสำหรับคำหลักรองที่เกี่ยวข้องด้วย และพยายามใช้คำหลัก LSI ในคอนเทนต์ของคุณ (ในกรณีที่คำนั้นๆ มีความหมายและความเกี่ยวข้องกับสินค้า)
สร้าง Internal Links
ยิ่งสามารถทำให้ผู้เข้าชมเรียกดูคอนเทนต์ได้นานเท่าไหร่ โอกาสในการทำยอดขายก็จะยิ่งมากขึ้นเท่านั้น การจัดทำลิงก์ภายใน (Internal links) ที่เกี่ยวข้องเชื่อมต่อไปยังหน้าอื่นๆ ในเว็บไซต์ของคุณ ช่วยให้ลูกค้าเป้าหมายเรียกดูและค้นพบข้อมูลหรือสินค้าได้มากกว่า
ใน Anchor (คำหรือข้อความที่คุณใช้แทรก Internal Link) ควรเช็คให้แน่ใจว่าคุณรวมคำหลักไว้ด้วย เพราะการสร้างลิงก์ภายในสามารถใช้ดึงลูกค้าไปยังหน้าสินค้าที่เกี่ยวข้อง หน้าหมวดหมู่ และคอนเทนต์ที่มีประโยชน์
อย่าสร้างลิงก์ภายในมากเกินไป สักลิงก์ 1-2 ลิงก์ทุกๆ หลายร้อยคำก็เพียงพอแล้ว
💡 เคล็ดลับจากมือโปร: หากคุณเข้าใจขั้นตอนการตัดสินใจของผู้ชม ก็สามารถพัฒนาคอนเทนต์ฮาวทู ช่วยให้คนซื้อผ่านแต่ละขั้นตอนได้อย่างสะดวกที่สุด
5. การทำบล็อก
บล็อกเป็นรูปแบบหนึ่งของการตลาดคอนเทนต์ที่คุณใช้กลยุทธ์ SEO On-page รวมกับ SEO ทางเทคนิค เพื่อเพิ่มความสามารถในการมองเห็นเว็บไซต์ของคุณ เพราะเป็นวิธีที่เน้นให้เครื่องมือค้นหา (Google) เห็นว่าเว็บไซต์ของคุณเชื่อถือได้ โดยเฉพาะในการจัดอันดับคำหลักที่สอดคล้องกับความสนใจและความต้องการของผู้ชม เมื่อทำบล็อก นั่นหมายถึงคุณกำลังใช้ SEO เพื่อขับเคลื่อนกลยุทธ์คอนเทนต์ระยะยาวอย่างต่อเนื่อง
ทุกบล็อกโพสต์ที่เผยแพร่มีศักยภาพที่จะ
- สร้างชื่อเสียงของคุณในฐานะแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้
- ปรับปรุง DA (Domain Authority) ของเว็บไซต์
- เพิ่มความสามารถในการมองเห็นในผลการค้นหาออร์แกนิก
ลองนึกภาพว่าคุณกำลังเริ่มต้นบริษัทที่ขายอุปกรณ์สำหรับวิ่ง คุณต้องการให้ลูกค้าเข้าใจสินค้าและใช้ผลิตภัณฑ์เหล่านั้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงสามารถแก้ปัญหาการวิ่งและฟิตเนสได้ หากคุณต้องการให้คนหาเว็บของคุณเจอบน เช่น Google การเขียนบล็อกสามารถช่วยให้คุณไปถึงจุดนั้นได้
บล็อกที่เขียนดีจะทำให้ร้านค้ามีคอนเทนต์ต้นฉบับอย่างต่อเนื่อง ยิ่งมีคนค้นพบคอนเทนต์ของคุณมากเท่าไหร่ คุณก็จะยิ่งกลายเป็นแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้มากขึ้น ซึ่งจะช่วยให้คุณถูกจัดอันดับสูงขึ้น ธุรกิจอีคอมเมิร์ซมักประสบปัญหาในการทำบล็อกเพราะต้องใช้เวลา ความพยายาม และทรัพยากร โปรดทราบว่าการโพสต์บล็อกโพสต์แบบสุ่มรายเดือนจะไม่ช่วยให้เกิดการเข้าชมเว็บไซต์แต่อย่างใด
อย่างไรก็ตาม มีธุรกิจอีคอมเมิร์ซมากมายที่ทำบล็อกได้ดี ตัวอย่างเช่น ร้าน Au Lit Fine Linens ขายทุกอย่างเพื่อช่วยให้คุณนอนหลับได้ดี รวมถึงผ้าปูแบบลักซูว์ ผ้าห่ม ผ้าขนหนู และอื่นๆ ซึ่งแบรนด์นี้ยังมีบล็อก Between the Sheets โพสต์บทความที่ให้ประโยชน์เกี่ยวกับการปรับคุณภาพการนอนหลับ
บล็อกนี้มีการขับเคลื่อนด้วย SEO หมายความว่าจุดประสงค์คือการติดอันดับในเครื่องมือค้นหา ซึ่งโพสต์มักเน้นที่ปัญหาที่ผู้อ่านกำลังเผชิญ และเสนอสินค้าของ Au Lit Fine Linens เป็นทางออก เป็นการสร้างสมดุลที่ดีระหว่างการโปรโมชั่นและการให้ข้อมูล
เมื่อเริ่มต้นบล็อกสำหรับ SEO อีคอมเมิร์ซ ให้คุณมุ่งเน้นไปที่ 3 องค์ประกอบต่อไปนี้
- ค้นว่าคำหลักใดที่น่าทำให้ติดอันดับ เผยแพร่คอนเทนต์ที่มุ่งเป้าไปที่คำหลักนั้นๆ คำที่ผู้คนมีแนวโน้มจะค้นหาเมื่อต้องการแก้ปัญหาหรือตัดสินใจซื้อ
- ปรับแต่งบล็อกโพสต์สำหรับ SEO ปรับคอนเทนต์ให้บล็อกแต่ละโพสต์มุ่งเป้าไปที่คำหลักนั้นๆ เฉพาะสำหรับ SEO
- นำเสนอสินค้าเป็นทางออกสำหรับปัญหา ทุกโพสต์ไม่จำเป็นต้องเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ของคุณ แต่ต้องไม่กลัวที่จะเชื่อมโยงไปยังหน้าสินค้าที่เกี่ยวข้อง
6. การสร้างลิงก์ (Link Building)
หนึ่งในองค์ประกอบที่เก่าแก่ที่สุดของอัลกอริธึม Google คือ PageRank ซึ่งเป็นระบบที่พยายามเข้าใจคุณภาพของหน้าเว็บจากการดูที่จำนวนลิงก์ที่ได้รับจากเว็บไซต์อื่น
Google ใช้จำนวน คุณภาพ และความเกี่ยวข้องของลิงก์ ในการตัดสินความน่าเชื่อถือ ดังนั้นเว็บไซต์ใหม่ที่มีลิงก์น้อยจึงมี DA น้อยกว่าในสายตาของเครื่องมือค้นหา แม้ว่าการสร้าง DA จะใช้เวล แต่การสร้าง Backlink ที่มีคุณภาพสามารถช่วยให้ Google รับรู้ถึงคุณภาพและค่า DA ของเว็บไซต์คุณได้เร็วขึ้น
เว็บไซต์ลงท้ายด้วย .com, .gov และ .edu มักได้รับความน่าเชื่อถือสูงสุด ดังนั้นการที่มี Backlink ลิงก์จากเว็บไซต์ขนาดใหญ่ที่มีอันดับดีๆ และยัง Available อยู่ เชื่อมต่อมายังเว็บไซต์ของคุณนั้น จะยิ่งทำให้ค่า DA ของคุณสูงขึ้นเป็นพิเศษ
หนึ่งในวิธีที่ดีที่สุดในการทำ Link Building คือการมุ่งเน้นไปที่การเป็นพันธมิตร กำหนดคอนเทนต์ที่คุณสามารถทำ และพยายามทำคอนเทนต์ที่มีประโยชน์กับเว็บไซต์อื่น ซึ่งเมื่อคุณได้สร้างคอนเทนต์นั้นขึ้นมาแล้ว เว็บไซต์อื่นๆ ก็จะนำลิงค์หน้านั้นๆ ของคุณไปอ้างอิง ทำให้คุณได้คะแนน DA สูงขึ้น
Guest Post
Guest Post เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการสร้าง Backlink ตราบใดที่คอนเทนต์ที่คุณสร้างมีความเกี่ยวข้องกับเว็บไซต์หรือมีประโยชน์กับผู้ใช้ของพวกเขา ทำการค้นคว้าคำหลักสำหรับอีคอมเมิร์ซ และวิเคราะห์ Backlink ด้วย Ahrefs เพื่อค้นหาเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้องกับสินค้าของคุณและเป็นเว็บที่เปิดให้ลง Guest Post
Press mentions
อีกวิธีหนึ่งในการสร้าง Backlink ไปยังร้านอีคอมเมิร์ซของคุณ คือ Press mentions การสร้างรายชื่อสื่อหรือการจ้างบริษัทประชาสัมพันธ์อาจมีค่าใช้จ่ายสูง ดังนั้น มาดูเทคนิคการแฮ็กแบบง่ายที่ทุกคนสามารถทำได้
ลงทะเบียนที่ Help A Reporter Out หรือ Help a B2B Writer และคุณจะได้รับข่าวสารรายวันเกี่ยวกับคำขอจากนักข่าว ส่งตรงไปยังอีเมลของคุณ เมื่อมีโอกาสที่ตรงกับแบรนด์ของคุณ ให้ติดต่อไปยังที่อยู่อีเมลที่ให้ไว้และเสนอเรื่องราว หากคุณได้รับการสัมภาษณ์ อย่าลืมขอให้มี Backlink ไปยังเว็บไซต์ของคุณด้วย
เครื่องมือ eCommerce SEO ที่ดีที่สุด
Avada SEO และ Image Optimizer
Avada SEO เป็นปลั๊กอินที่ช่วยให้ร้านค้าอีคอมเมิร์ซมีอันดับสูงกว่าคู่แข่ง มีฟีเจอร์บีบอัดภาพ การปรับความเร็วไซต์ การทำ Schema Markup และฟีเจอร์ทางเทคนิคอื่นๆ ที่ทำให้เว็บไซต์ของคุณได้รับการปรับแต่งเพื่อการค้นหาโดยเฉพาะ นอกจากนี้ยังมีการสนับสนุนลูกค้า 24/7 อีกด้วย
SEOAnt
SEOAnt เป็นเครื่องมือฟรีที่คุณสามารถใช้เพื่อทำรายงานตรวจสอบ SEO แก้ไขลิงก์ที่เสีย และปรับขนาดภาพ นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์ AI สำหรับการเขียนเมตาและข้อความ Alt
Google Analytics
หากคุณเป็นเจ้าของเว็บไซต์ คุณจะต้องใช้ Google Analytics เครื่องมือ SEO ฟรีนี้ในการติดตามและเช็ครายงานการเข้าชมเว็บไซต์ โปรแกรมนี้จะให้ข้อมูลเชิงลึกเพื่อให้คุณเข้าใจลูกค้า ปรับแต่งร้านค้าสำหรับ SEO และปรับปรุง ROI การตลาด ในฐานะเจ้าของร้าน Shopify คุณสามารถเชื่อมต่อ Google Analytics กับ Shopify Analytics และเลือกข้อมูลอีคอมเมิร์ซเฉพาะที่ต้องการได้
Ahrefs
คุณได้เห็น Ahrefs ทำงานในโพสต์นี้ แต่ก็คุ้มค่าที่จะดูฟีเจอร์หลักๆ ของโปรแกรมนี้ ผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาดอีคอมเมิร์ซใช้ Ahrefs เพื่อสร้างแคมเปญ SEO เพื่อให้เว็บติดอันดับสูงขึ้นใน Google
Ahrefs เป็นคู่แข่งของ Moz และ Semrush ซึ่งเป็นบริษัทซอฟต์แวร์ SEO ยอดนิยม
คุณสามารถใช้ Ahrefs เพื่อวิเคราะห์โปรไฟล์ลิงก์ของเว็บไซต์ อันดับคำหลัก และประสิทธิภาพ SEO โดยรวม คุณยังสามารถใช้โปรแกมนี้ในการค้นคว้าคำหลักสำหรับ Google, Amazon และ YouTube
เริ่มทำ eCommerce SEO เลยตอนนี้
อันดับไม่เคยคงที่ ดังนั้น eCommerce SEO จึงไม่เคยหยุด แต่ 6 ขั้นตอนในบทความนี้น่าจะช่วยให้คุณสร้างฐาน SEO ที่มั่นคงสำหรับร้านค้าออนไลน์ได้
อย่าลืมปรับคอนเทนต์ให้เป็นต้นฉบับ (ไม่ซ้ำกับคนอื่น) อยู่เสมอ นำเสนอข้อมูลเชิงลึก ตรวจสอบเว็บไซต์ของคุณเป็นประจำ เพื่อปรับปรุงและแก้ปัญหาทางเทคนิค สำรวจโอกาสในการทำ Link Building และคอยมองหาคำหลักใหม่ๆ ที่ตรงกับแบรนด์และสินค้าของคุณ
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ eCommerce SEO
eCommerce SEO คืออะไร?
eCommerce SEO คือกระบวนการเปลี่ยนแปลงร้านค้าออนไลน์ เพื่อเพิ่มความสามารถในการมองเห็นของหน้าเว็บและรายการสินค้าในหน้าผลลัพธ์ของเครื่องมือค้นหา ซึ่งมักเรียกว่า SERPs
การทำ eCommerce SEO ให้ได้ผลต้องทำอย่างไร?
- ปรับแต่งชื่อสินค้าและคำอธิบายโดยใช้คำหลักที่เกี่ยวข้อง
- เขียนบล็อกโพสต์ที่มีประโยชน์เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ วงการ หรือช่องของคุณ
- ขอ Backlink จากเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้อง เพื่อปั้นค่า DA ให้กับเว็บไซต์ของคุณ
- เพิ่มคอนเทนต์ใหม่ตามกำหนดเวลา เพื่อแสดงว่าเว็บของคุณมีความเคลื่อนไหว
- อัปเดตคอนเทนต์เป็นประจำ เพื่อให้ข้อมูลสดใหม่และถูกต้อง
SEO ดีสำหรับอีคอมเมิร์ซหรือไม่?
SEO เป็นเครื่องมือที่ทรงพลังสำหรับธุรกิจอีคอมเมิร์ซ เพราะช่วยเพิ่มการเข้าชมออร์แกนิก ซึ่งสามารถนำไปสู่การมองเห็นที่สูงขึ้น เชื่อมต่อเว็บไซต์ไปยังลูกค้าที่มีศักยภาพ และในที่สุดคือยอดขายที่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ SEO ยังเป็นกลยุทธ์การตลาดที่คุ้มค่า เนื่องจากมุ่งเป้าไปที่ผู้ใช้ที่กำลังมองหาสินค้าของคุณออนไลน์อยู่แล้ว
ความแตกต่างระหว่าง SEO และ eCommerce SEO คืออะไร?
SEO และ eCommerce SEO ใช้หลักการเดียวกัน อย่างไรก็ตาม กลยุทธ์ eCommerce SEO จะเฉพาะเจาะจงว่าเป็นการปรับแต่งสำหรับร้านค้าออนไลน์ และมีเป้าหมายหลักคือการเพิ่มความสามารถในการมองเห็นของสินค้าในผลลัพธ์ของเครื่องมือค้นหา เพื่อขับเคลื่อนยอดขาย ในขณะที่ SEO แบบดั้งเดิมมุ่งเน้นไปที่การปรับปรุงความสามารถในการมองเห็นคอนเทนต์เว็บไซต์ (อันดับบนกูเกิล้) เพื่อดึงดูดผู้อ่านและความสนใจ งานเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับ eCommerce SEO ได้แก่ การปรับแต่งหน้าสินค้าและรายการ และการจัดการรีวิวลูกค้า
การทำ SEO มีค่าใช้จ่ายเท่าไหร่?
ค่าใช้จ่ายในการทำ SEO จะแตกต่างกันไปขึ้น อยู่กับขนาดของเว็บไซต์และขอบเขตของเป้าหมาย SEO ของคุณ อย่างไรก็ตาม ควรทราบว่าหลายๆ มุมของ SEO สามารถทำได้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย งานต่างๆ เช่น การค้นคว้าคำหลัก การปรับแต่ง On-page และการสร้างคอนเทนต์ ล้วนไม่ต้องใช้งบ ใช้เพียงเวลาเท่านั้น
หากคุณเลือกที่จะจ้างผู้เชี่ยวชาญด้าน SEO หรือเอเจนซี่ ค่าใช้จ่ายก็จะแตกต่างกันไปตามความเชี่ยวชาญ ขนาดของเว็บไซต์ และขอบเขตของบริการที่ต้องการ ซึ่งส่วนใหญ่อาจตั้งงบประมาณไว้ที่ประมาณ $1,500—$5,000 ต่อเดือน (ประมาณ 52,000 - 170,000 บาท) สำหรับโปรเจคท์ SEO ที่จ้าง Outsource ให้ทำอย่างเข้มข้นจริงจัง
Shopify ทำ SEO ให้คุณหรือไม่?
ร้านค้า Shopify มีฟีเจอร์ SEO เพื่อช่วยให้คุณปรับแต่งคอนเทนต์ ตัวอย่างเช่น คุณสามารถสร้างชื่อสินค้า คำอธิบาย ข้อความ Alt และ URL ที่ได้รับการปรับแต่ง คุณยังสามารถใช้ AI Assistant ของ Shopify เพื่อสร้างคอนเทนต์สำหรับสินค้าได้ และยังมีฟีเจอร์ SEO อื่นๆ รวมถึงความสามารถในการส่งแผนผังเว็บไซต์ (Sitemap) ไปยัง Google Search Console และโปรแกรมสร้างบล็อกสำหรับร้านออนไลน์ของคุณ
การเพิ่มบล็อกลงในร้านค้า Shopify สามารถช่วยให้ร้านได้รับการจัดอันดับคำหลักที่เกี่ยวข้องซึ่งไม่แข่งขันกับหน้าสินค้า ตัวอย่างเช่น ร้านค้า Shopify ที่ขายอุปกรณ์จัดงานวันเกิด อาจติดอันดับสำหรับคำหลักที่เน้นผลิตภัณฑ์ เช่น “ลูกโป่ง,” “ริบบิ้น,” และ “ของขวัญ” การเพิ่มบล็อกโพสต์ที่มีความคิดสร้างสรรค์ให้กับเว็บไซต์นี้ อาจทำให้หน้าบล็อกปรากฏในคำค้นหาอื่นๆ จากผู้ใช้ที่มีแรงจูงใจ เช่น “วิธีวางแผนงานวันเกิด” เป็นต้น
SEO คุ้มค่าหรือไม่สำหรับร้านค้า Shopify?
SEO ช่วยเพิ่มความสามารถในการมองเห็นในหน้าผลลัพธ์ของเครื่องมือค้นหา (SERPs) เมื่อคุณปรับแต่งร้านค้า Shopify โดยการสร้างหน้าที่ตอบโจทย์คำค้นหา และมีการสร้าง Backlink จากเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้อง หน้าเว็บ Shopify ก็จะติดอันดับสูงขึ้นในผลลัพธ์ และยิ่งคุณทำเช่นนี้กับหลายหน้ามากเท่าไหร่ หน้านั้นๆ ก็จะเริ่มติดอันดับมากขึ้นเท่านั้น การได้รับการเข้าชมเว็บไซต์จากผลการค้นหาออร์แกนิกช่วยให้คุณดึงดูดลูกค้า และใช้จ่ายกับการตลาดโฆษณาน้อยลง